Slish ราชันพลิกจักรวาล - นิยาย Slish ราชันพลิกจักรวาล : Dek-D.com - Writer
×

    Slish ราชันพลิกจักรวาล

    สลิสเจ้าชายแห่งดาวดวงหนึ่งที่ทันสมัยที่สุดในจักรวาล ได้รู้จักกับหญิงสาวที่มีพลังของจิตปฐพี ซึ่งมีพลังมหาศาล สลิสจะต้องปกป้องเธอจากอันตรายนานัปการ และความจริงของตัวเขายังเป็นปริศนา

    ผู้เข้าชมรวม

    842

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    0

    ผู้เข้าชมรวม


    842

    ความคิดเห็น


    10

    คนติดตาม


    1
    หมวด :  แฟนตาซี
    จำนวนตอน :  25 ตอน
    อัปเดตล่าสุด :  5 มี.ค. 52 / 20:00 น.
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

    บทนำ

    สะพานที่ทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา จากชายทะเลฝั่งหนึ่งไปจรดกับอีกฝั่งหนึ่ง ยามตะวันชิงพลบ ให้ความรู้สึกเวิ้งว้าง และยิ่งเมื่อมองขึ้นไปบนเขาแลให้เห็นถึงความมืดที่กำลังคุกคามลงมา ชายหนุ่มในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทเหมือนจะกลืนกินไปในความมืด เขาเขม้นตามองไปข้างหน้าไปยังความมืด เหมือนจะค้นหาอะไรบางอย่าง มือเรียวในถุงมือหนัง      สีดำสนิทยาวถึงศอกพยายามบังคับม้าอย่างยากลำบากเพื่อไม่ให้ตื่นวิ่งหนีไปจากที่เดิม

    ท้องฟ้าสีมืดมิดส่องแสงสีม่วงอมแดง ราวจะบอกถึงความหมายบางอย่าง สิ่งนี้เป็นสัญญาณที่ไม่ค่อยจะดีนัก เสียงพึมพำฟังดูคล้ายกับบทสวดลอยมาตามสายลม กลุ่มเงาสีดำปรากฏขึ้นเหนือกำแพงหินทันที ความมืดตรงนั้นกำลังรวมตัวกันเป็นก้อนและก่อเกิดเป็นรูปร่างคน

    ม้าสีน้ำตาลแดงควบวิ่งเต็มฝีเท้า เมื่อเจ้านายของมันกระชากสายบังเหียนกระชากไปทางทิศตรงข้ามของเงาดำปริศนานั่นทันที ชายหนุ่มควบม้าวิ่งผ่านทุ่งหญ้าและหุบเขาด้วยความเร็วที่แทบหายใจไม่ทัน สายลมหนาวประทะเข้ากับใบหน้า แต่เทียบไม่เท่ากับความเย็นยะเยือกของสิ่งที่กำลังตามหลังของเขามา เขาพึ่งเคยรู้สึกกลัวและหวาดหวั่นเป็นครั้งแรก ลางสังหรณ์อันชัดเจนของเขามันกำลังบอกกับเขาว่าที่แห่งนี้กำลังจะกลายเป็นสมรภูมิรบและจะไม่มีสิ่งใดรอดชีวิต

    แสงสว่างจากดวงไฟเล็กๆ ทำให้ชายหนุ่มใช้กำลังเฮือกสุดท้ายควบม้าคู่ใจวิ่งเข้าไป ม้าสีน้ำตาลแดงเพศเมียกระโจนข้ามผ่านกำแพงไม้ ปล่อยให้ร่างของเจ้านายที่อยู่บนหลังลอยละลิ่วตกลงมาจากหลังม้า แต่นับว่าโชคยังดีที่มีคนกลุ่มหนึ่งได้วิ่งเข้ามารับร่างของเขาไว้ได้ทัน เสียงดังเอะอะที่แว่วเข้ามาในหูอย่างจับใจความไม่ได้ว่าเขาพูดคุยอะไรกัน จนเมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็รู้ตัวว่าเขาอยู่ในอ้อมแขนของลอร์ดอาเรียส

    “กำแพงเมืองที่อยู่ที่เมืองหน้าด่านของเราถูกยึดแล้วครับ”

    “ใจเย็นๆ เจ้าอย่าพึ่งพูดอะไรตอนนี้” น้ำเสียงของลอร์ดอาเรียสทุ้มดุดวงตาสีน้ำเงินของเขาแฝงแววตำหนิปนห่วงใย

    “ลอร์ดอาเรียส แม่มดเล่นงานเขาที่สะพาน ไม่รู้ว่าเขาสลัดหลุดมาได้อย่างไร” วอลเทอร์เข้ามากระซิบทางด้านหลัง  เกราะสีเงินของเขาสะท้อนใส่ดวงตาของชายหนุ่มปริศนาที่บังคับม้าพุ่งกระโจนเข้ามาถึงในกลางค่ายพัก

    “เรามาเพื่อแจ้งข่าวกับท่าน” ชายหนุ่มปริศนาแถมใจกล้าพูดสลับกับไอเสียงดัง

    “อืม พวกแม่มด”

    คำพูดของชายหนุ่มปริศนาทำให้ผู้คนที่ยืนอยู่รายรอบนิ่งงัน  บางคนทำหน้าไม่เข้าใจ  บางคนทำหน้าไม่เชื่อถือพร้อมกับด่าเขาไปหลายคำ

    ลอร์ดอาเรียสยกมือขึ้นครู่หนึ่ง  เสียงอืออึงทั้งหลายต่างเงียบลง ท่านลอร์ดแห่งเอนไซด์สะบัดผ้าคลุมที่คลุมตัวอยู่ เผยให้เห็นสร้อยคอรูปร่างแปลกๆ ดูแล้วคล้ายไม่กางเขนอันเล็กๆ

    “เขาเป็นคริสต์”  เสียงพึมพำดังขึ้นมาอีกครั้ง

    “เจ้ากล้าสาบานต่อพระเจ้าไหมว่าเรื่องที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นความจริง”  ลอร์ดอาเรียสกล่าวเสียงเรียบ

    “พระเจ้าเป็นพยานให้ข้า  แม้ข้าจะไม่ใช่อัศวินศักดิ์สิทธิ์ ไม่ได้รับพลังหรือเครื่องแต่งกายชนิดพิเศษเช่นอย่างพวกท่าน แต่ด้วยคำสัตย์ของสาวกแด่พระผู้เป็นเจ้า”  ชายหนุ่มปริศนาพูดรัวเร็ว  นั้นทำให้เขาเริ่มมีอาการไอขึ้นมาอีกเล็กน้อย “คืนนี้สะพานแห่งเกียรติยศจะต้องพังพินาศและจะกลายเป็นสุสาน ถึงผู้ถือสาส์นจะโดนขัดขวางไม่ให้มา แต่ยังไงๆข้าก็ต้องมอบสิ่งนี้เพื่อท่าน”

    ชายหนุ่มปริศนาล่วงมือเข้าไปในอกเสื้อ หยิบกริชสีเงินและสีทอง ออกมา “เพราะพวกเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนัง  และเลือด แต่การต่อสู้เทพผู้ปกปัก และผู้ที่ได้ถือครองศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพ ในโมหะความมืดในโลกแห่งนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วร้าย” มือของชายหนุ่มปริศนาร่วงลงสู่พื้นพร้อมกับกริชเงินและทอง แต่ลอร์ดอาเรียสรับไว้ พร้อมกับเงยหน้ามองอัศวินที่ยืนรายล้อมอยู่รอบๆ

    “คำพูดของเขาได้บ่งบอกถึงอนาคตของพวกเรา พวกเจ้ายังอยากอยู่ร่วมกับกองทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์อีกหรือไม่  ลอร์ดอาเรียสพูดในระดับเสียงที่ดังเป็นปกติ แต่เสียงของเขาได้ดังกังวานไปทั่ว

      วอลเทอร์หัวเราะเบาๆในลำคอ กระชับดาบที่อยู่ข้างเอวด้วยความมุ่งมั่น “แม้ข้าจะไม่ให้อัศวินศักดิ์สิทธิ์เช่นท่าน หรือใครหลายคนในที่นี้ แต่เราจะไม่ยอมให้พวกวิญญาณแห่งความมืดมาบุกรุกบ้านเกิดเรา  สงครามนี้เป็นของพระเจ้า  ผู้ทรงเป็นธงชัยของพวกเรา”

    เสียงเฮดังกระหึ่มรับคำพูดของวอลเทอร์  เหล่าทหารและอัศวินรวมถึงชาวบ้านทุกคนที่พอจะจับดาบได้  พากันมารวมกลุ่มเรื่อยๆนับตั้งแต่พีคดิสสตริกท์จนถึงยอร์กเชอร์  จากกลุ่มอัศวินศักดิ์สิทธิ์เพียงแค่สามสิบเอ็ดคน  กลายเป็นกลุ่มเดินเท้าเกือบหนึ่งพันคน  และม้าอีกห้าร้อยตัว

    “แล้วพวกเราจะทำอย่างไรกับเจ้าหนุ่มคนนี้ดีละ ลอร์ดอาเรียส” วอลเทอร์เอ่ยถามถึงปัญหาที่อยู่ในวงแขนของแม่ทัพอัศวินศักดิ์สิทธิ์

    “เขาต้องมีชีวิตรอด  ตั้งกระโจมที่พักสำหรับเขาและคัดคนที่อยู่ที่นี่มาซักสามคนหน้าที่ของเขาได้จบลงแล้ว”  ลอร์ดอาเรียสมองชายหนุ่มปริศนาที่มีอายุห่างกับเขาเกือบสิบปี  ด้วยดวงตาสีน้ำเงินเข้าทอดมองแววอ่อนโยน  ราวกับอีกฝ่ายไม่ใช่คนแปลกหน้า

    วอลเทอร์เดินจากไปตามคำบอกของลอร์ดอาเรียส กระโจมขนาดเล็กถูกก่อขึ้น พร้อมกับผู้ที่สามารถปกป้องผู้นำข่าวให้มีชีวิตรอดจากค่ำคืนนี้ให้ได้  ลอร์ดอาเรียสอุ้มร่างไร้สติของชายหนุ่มปริศนาไปวางไว้ในกระโจมชั่วคราวที่ตั้งไว้  ไฟถูกจุดขึ้นเพื่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้นข้างใน  เขาวางร่างของผู้ส่งสาสน์ไว้ที่ที่นอนที่ตั้งไว้ก่อนที่จะนั่งลงข้างๆและทอดสายตามองร่างนิ่งสงบนั้นอย่างเศร้าสร้อย

    “ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้เจ้ามา  แต่เจ้าก็ดื่อรั้นนักเชล เชื้อสายโอริอ้อนไพร์มจะต้องไม่ดับสูญไปพร้อมๆกับข้า  ข้าขอให้พระเจ้าคุ้มครองเจ้าให้ปลอดภัยน้องชายของข้า”

    ลอร์ดอาเรียสหมุนตัวเดินออกมาจากกระโจมที่พักของน้องชายของเขา ลมหนาวแตะที่ริมฝีปากและสัมผัสผิวแก้มพร้อมกับกลิ่นเหม็นเน่าที่โชยตามออกมา คบไฟถูกจุดขึ้นที่ละอัน เสียงดาบกระทบกับเกราะดังสลับกับเสียงสวดมนต์ หลายคนล้วงเหล้าในอกเสื้อมาจิบ เพื่อให้ร่างกายอบอุ่นและเวียนกันส่งต่อจนมันหมดขวด แล้วจากใจที่หวาดกลัวและหวาดหวั่นก็แปรเป็นห้าวหาญ บางคนตะโกนเสียงดังลั่นเพื่อเรียกขวัญกำลังใจของตัวเองให้กลับมา เมื่อมีคนโห่ร้องตอบกลับมา ใครหลายคนจึงพร้อมกับโห่ร้อง

    “แด่กองทัพของพระเจ้า แด่เอนไซด์”

     

    เวลาผ่านไปจนถึงรุ่งเช้า บรรยากาศอันหนาวเหน็บของเมื่อคืนเริ่มคลาย การต่อสู้ที่มีแต่เสียงร้องโหยหวนอยู่เป็นระยะๆจนใกล้เช้า ได้เงียบสงบ คนที่ถูกทิ้งอยู่ด้านหลังถึงกับกระสับกระส่าย  ลอบมองเข้าไปในในกระโจมที่ยังไม่มี่คนฟื้นสติ จนเมื่อผ้าม่านในกระโจมถูกยกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว

    เชลกวาดสายตาของเขามองไปยังบริเวณโดยรอบเบิกตากว้างเมื่อได้เห็นหน้าของคนที่คุ้นเคย  และพึ่งสังเกตุเห็นว่าเขามีโครงหน้าคล้ายกับลอร์ดอาเรียส  รวมถึงดวงตาที่แสนจะอ่อนเพลียของคนที่อยู่ตรงหน้า

    “เขาทิ้งข้า  เขาทิ้งข้า เขาจากข้าไปแล้ว”  เชลพึมพำในลำคอ และพรวดพราดไปที่แม่น้ำแล้วรีบหันไปหาม้าสีน้ำตาลคู่ใจที่พาเขามาถึงที่นี่เมื่อคืน

    เชลควบม้าไปยังที่สมรภูมิเมื่อคืน  กลิ่นเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นลอยออกมาตามสายลม  กลิ่นนั้นนำเขาไปที่กองซากศพเน่าเปื่อยและอัศวินในชุดเกราะเงินชายหนุ่มรีบกระโดดลงจากหลังม้าและวิ่งไปที่ศพนั้น

    “เฮ้ย ท่านวอลเทอร์” เชลเรียกชายหนุ่มที่เป็นทหารคู่ใจของผู้เป็นพี่ดังลั่น  ทั้งที่รู้ว่าไม่มีเสียงใดตอบกลับมา  ทันใดนั้นชายหนุ่มได้หลิ่วตาไปมองข้างๆศพทหารหนุ่มคู่ใจของท่านพี่ เขาเห็นลอร์ดอาเรียสนอนสิ้นใจอยู่ที่นั่นเอง

    ร่างไร้ชีวิตของลอร์ดอาเรียสถูกพลิกหงายขึ้น   ใบหน้าขาวซืดของเขามีคราบเลือดแห้งเกรอะกรังและเศษดินติด  เชลดวงตาเบิกโพลง ดวงตาสีน้ำเงินเริ่มปริ่มไปด้วยน้ำตา มองไปที่หน้าอกของพี่ชายที่ถูกอะไรบางอย่างทะลวงลึกเอาหัวใจของเขาออกไป ชายหนุ่มตะโกนร้องโหยหวน น้ำตาทะลักอย่างไม่อาจจะทนได้

    “พี่อาเรียส พี่จะต้องไม่ตายเปล่าแน่ ข้าจะอนุสรณ์ในท่าน และจะตั้งชื่อดวงดาวนี้ว่า อาเรียส ขอให้ดวงวิญญาณของท่านพี่หลับอย่างเป็นสุขในดวงดาวอาเรียส” เชลกล่าวทั้งน้ำตา

    แล้วก็เป็นดั่งคำที่เชลบอกเอาไว้ ที่รกร้างนี้กลายเป็นที่ๆเจริญที่สุดกาแล็คซี่  สะดวกสบายที่สุด การทหารเข้มแข็งที่สุด ภายใต้ชื่อ ดาวอาเรียส

    …… แต่สงครามนี้ยังไม่สิ้นสุดแม้ประวัติศาตร์จะหายไปถึงสองร้อยปีก็ตาม

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น